วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

บันทึกการเรียนการสอน ครั้งที่ 2

วัน อังคาร ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ.2556

" เด็กที่มีความต้องการพิเศษ "
  เด็กที่มีความต้องการพิเศษ หมายถึงถึงเด็กที่มีความผิดปกติ มีความบกพร่อง สูญเสียสมรรถภาพ อาจเป็นความผิดปกติ ความบกพร่องทางกาย การสูยเสียสมรรถภาพทางสติปัญญา ทางจิตใจ
-ทางการแพทย์ มักจะเรียกเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่า " เด็กพิการ "
 -ทางการศึกษา ให้ความหมายว่า เด็กที่มีความต้องการทางการศึกษาเฉพาะตัวเอง ซึ่งจำเป็นต้องจัดการศึกษาให้ต่างไปจากเด็กปกติทางด้านเนื้อหา หลักสูตร กระบวนการที่ใช้ และการประเมินผล
สรุปได้ว่า เด็กที่มีความต้องการพิเศษ หมายถึง
-เด็กที่ไม่อาจพัฒนาความสามารถได้เท่าที่ควรจากการให้ความช่วยเหลือ และสอนตามปกติ
-มีสาเหตุจากสภาพความบกพร่องทางร่างกาย สติปัญญา และอารมณ์
-จำเป็นต้องได้รับการกระตุ้น ช่วยเหลือ การบำบัด และฟื้นฟู
-จัดการเรียนการสอนที่เหมาะกับลักษณะ และความต้องการของเด็กแต่ละคน
1. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง
      = มีความเป็นเลิศทางสติปัญญา เรียกโดยทั่วๆไปว่า " เด็กปัญญาเลิศ "
  2. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง
        
 กระทรวงศึกษาธิการ ได้แบ่งออกเป็น 9 ประเภท คือ
          1. เด็กบกพร่องทางสติปัญญา
          2. เด็กบกพร่องทางการได้ยิน
          3. เด็กบกพร่องทางการเห็น
          4. เด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
          5. เด็กบกพร่องทางการพูดและภาษา
          6. เด็กบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
          7. เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้
          8. เด็กออทิสติก
          9. เด็กพิการซ้อน
1. เด็กบกพร่องทางสติปัญญา (Children with Intellectual Disabilities)
หมายถึง เด้กที่มีระดับสติปัญญา หรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย เมื่อเทียบเด็กในระดับอายุ       เดียวกัน  มี 2 กลุ่ม คือ เด็กเรียนช้า และ เด็กปัญญาอ่อน
เด็กเรียนช้า
       -  สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้
       -  เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ
       -  ขาดทักษะในการเรียนรู้
       -  มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย
       -  มีระดับสติปัญญา ( IQ ) ประมาณ 71- 90
สาเหตุ ของการเรียนช้า
           1.  ภายนอก            2.  ภายใน
       ภายนอก
           - เศรษฐกิจของครอบครัว
           - การสร้างเสริมประสบการณ์ให้แก่เด็ก
           - สภาวะทางด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
           - การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
           - วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ

ภายใน
     - พัฒนาการช้า
     - การเจ็บป่วย
* เด็กปัญญาอ่อน
   -  เด็กที่มีภาวะพัฒนาการหยุดชะงัก
   -  แสดงลักษณะเฉพาะ คือ มีระดับสติปัญญาต่ำ
   -  มีความสามารถในการเรียนรู้น้อย
   -  มีความจำกัดทางด้านทักษะ
   -  มีพัฒนาการทางกายล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย
   -  มีความสามรถจำกัดในการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม
          เด็กปัญญาอ่อน แบ่งตามระดับสติปัญญา ( IQ )  ได้ 4 กลุ่ม
            1.  เด็กปัญญาอ่อน ขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20
                 ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่างๆได้เลย ต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น
            2.  เด็กปัญญาอ่อน ขนาดหนัก IQ 20-34
ไม่สามารถเรียนได้ ต้องการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตัวเองในกิจัตรประจำวันเบื้องต้น               ง่ายๆ2 กลุ่มนี้ โดยทั่วไป เรียกว่า C.M.R ( Custodial Mental Retardation )
          3.  เด็กปัญญาอ่อน ขนาดปานกลาง IQ 35- 49พอที่จะฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่ายๆได้ สามารถฝึกอาชีพ หรือ ทำงานง่ายๆ ที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดละออได้
 เรียกโดยทั่วไปว่า T.M.R ( trainable Mentally Retarded )
         4.  เด็กปัญญาอ่อน ขนาดน้อย IQ 50-70ในระดับประถมศึกษาได้ สามารถฝึกอาชีพและงานง่ายๆได้ เรียกโดยทั่วไปว่า E.M.R ( Educable mentally Retarded )
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
             -  ไม่พูด หรือ พูดได้ไม่สมวัย
             -  ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
             -  ความคิด และอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย รอคอยไม่ได้
             -  ทำงานช้า
             -  รุนแรง ไม่มีเหตุผล
             -  อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
             -  ช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
   2. เด็กบกพร่องทางการได้ยิน (Children with Hearing Impaired)
  หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่อง หรือสูญเสียการได้ยิน เป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่างๆได้ไม่ชัดเจน มี 2ประเภท คือ เด็กหูตึง และ เด็กหูหนวก
เด็กหูตึง หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้ โดยใช้เครื่องช่วยฟัง
        จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม
1. เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินระหว่าง 26-40 dB
                     เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบาๆ เช่น เสียงกระซิบ หรือ เสียงจากที่ไกลๆ
2. เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินระหว่าง 41-55 dB
-  เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง 3-5 ฟุตและไม่เห็นหน้าผู้พูด
-  จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้
-  มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเสียงเบา หรือเสียงผิดกปติ
              3. เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินระหว่าง56-70 dB
-  เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด
  -  เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
-  มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน
-  มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ
-  พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
              4. เด็กหูตึงระดับรุนแรง 71-90 DB
-  เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียง และ การเข้าใจคำพูดอย่างมาก
-  ได้ยินเฉพาะดังใกล้หู 1ฟุต
-  การพูดคุยต้องตระโกน หรือ ให้เครื่องขยายเสียง
-  เด็กมักพูดไม่ชัด และมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด
เด็กหูหนวก

-  สูญเสียการได้ยิน
 -  เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้

 -  ไม่เข้าใจภาษาพูด
 -  ระดับได้ยิน ตั้งแต่ 91 DB ขึ้นไป
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
 ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี
 ไม่พูด แสดงท่าทาง
-  พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์
-  พูดด้วยเสียงแปลกๆมักเปล่งเสียงสูง
-  พูดด้วยเสียงต่ำ หรือดังเกินกว่าจำเป็น
เวลาฟังมักจจะมองปากผู้พูด หรือจ้องหน้าผู้พูด
-  ไวต่อการสั่นสะเทือน การเคลื่อนไหวรอบตัว
 -  มักจะทำหน้าเด๋อ เมื่อมีการพูดด้วย

3.เด็กบกพร่องทางการเห็น ( Children with Visual Impairments)
                 -  เด็กที่มองไม่เห็น หรือพอเห็นแสง เห็นเลือนลาง
                 -  บกพร่องสายตา 2ข้าง
                 -  สามารถมองได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ
                 -  มีลานสายตา กว้างไม่เกิน 30 องศา
                เด็กบกพร่องทางสายตา สามารถ แบ่ง2ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอกไม่สนิท

เด็กตาบอด
                 -  ไม่สามารถมองเห็น
                 -  ใช้ประสาทสัมผัสในการเรียรู้
                 -  มีตาข้างดี มองเห็นได้ในระยะ6/60 ,20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท
                 -  ลานสายตาเฉลี่ย อย่างสูงสุด แคบสุด 50 องศา
 เด็กตาบอดไม่สนิท
                 -  เด็กบกพร่องทางสายตา
                 -  มองเห็นได้ข้างเดียว ไม่เท่ากับเด็กปกติ
                 -  เมื่อทดสอบสายตาข้างดี ระดับ 6/18.20/60,6/60, 20/200 น้อยกว่านั้น
                 -  ลานสายตาสุดกว้างไม่เกิน 30องศา
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการมองเห็น
                 -  เดินงุ่มง่าม ชน และสะดุดวัตถุ
                 -  มักบ่นว่าปวดศรีษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
                 -  ก้มศรีษะชิดกับงาน
                 -  เพ่งตา หรี่ตา
                 -  ตาและมือ ไม่สัมพันธ์กัน
                 -  มีความลำบากในการจำ และแยกแยะรูปทรงเรขาคณิตไม่ได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น